การทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากไฟฟ้ามีอันตรายทั้งจากการช็อตไฟฟ้า การเกิดอัคคีภัย หรือการได้รับอันตรายจากการสัมผัสกับอุปกรณ์ที่มีแรงดันไฟฟ้า ดังนั้นการใช้ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment: PPE) เป็นสิ่งจำเป็นในการลดความเสี่ยงในการทำงานประเภทนี้ โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
PPE คืออะไร
PPE (Personal Protective Equipment) หรือ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล คือ อุปกรณ์ที่ใช้สวมใส่เพื่อป้องกันอันตรายจากการทำงาน ลดความเสี่ยงจากการสัมผัสกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เช่น ไฟฟ้า ความร้อน สารเคมี หรือแรงกระแทก ซึ่งช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานปลอดภัยจากอุบัติเหตุหรืออันตรายในสถานที่ทำงาน
การใช้ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ในงานไฟฟ้าต่างจากการใช้ PPE ในงานประเภทอื่น ๆ เนื่องจากไฟฟ้ามีความเสี่ยงที่เฉพาะเจาะจง เช่น การช็อตไฟฟ้า หรืออันตรายจากอาร์กไฟฟ้า (Arc Flash) ที่ต้องการการป้องกันที่มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะ ซึ่งทำให้ PPE สำหรับงานไฟฟ้ามีข้อกำหนดและมาตรฐานที่แตกต่างจาก PPE สำหรับงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ
ความแตกต่างระหว่าง PPE สำหรับไฟฟ้าและ PPE สำหรับงานประเภทอื่น
PPE ที่ใช้ในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้ามีความแตกต่างจาก PPE ที่ใช้ในงานประเภทอื่น ๆ ในหลายแง่มุมที่สำคัญ ดังนี้
1. วัสดุที่ใช้:
- PPE สำหรับไฟฟ้าจะต้องทำจากวัสดุที่มีคุณสมบัติเฉพาะในการป้องกันไฟฟ้า เช่น ยาง, พลาสติก, หรือวัสดุที่สามารถทนไฟฟ้าสูงได้ ในขณะที่ PPE สำหรับงานอื่น ๆ เช่น งานก่อสร้างหรือการเชื่อม จะใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติในการทนไฟ, ความร้อน, หรือแรงกระแทก โดยไม่เน้นความสามารถในการป้องกันไฟฟ้า
- ตัวอย่างวัสดุที่ใช้สำหรับ PPE ไฟฟ้าคือ ยางที่มีความสามารถในการทนต่อแรงดันไฟฟ้า, เสื้อผ้าที่ทนไฟ, หรือรองเท้าที่มีคุณสมบัติป้องกันไฟฟ้า
2. การป้องกันไฟฟ้าและความร้อน:
- PPE สำหรับไฟฟ้ามีคุณสมบัติในการป้องกันไฟฟ้า (Electrical Insulation) และความร้อน (Thermal Protection) ได้ในระดับสูง เพราะงานไฟฟ้ามักเกี่ยวข้องกับการสัมผัสกับแรงดันไฟฟ้าหรือการเกิดประกายไฟที่สามารถทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
- ในงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น งานเชื่อม, งานทำความร้อน หรือการใช้เครื่องมือหนัก PPE จะเน้นการป้องกันจากแรงกระแทก, ความร้อน, หรือสารเคมีที่อาจสัมผัสกับร่างกาย
คุณสมบัติที่ควรมีใน PPE สำหรับงานไฟฟ้า
1. ฉนวนไฟฟ้า (Electrical Insulation):
- PPE ที่ใช้ในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าควรทำจากวัสดุที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า เช่น ยาง, พลาสติก, หรือวัสดุที่มีการเคลือบฉนวนไฟฟ้า เพื่อป้องกันการช็อตจากแรงดันไฟฟ้า
- ถุงมือและรองเท้าควรทนแรงดันไฟฟ้าตามที่มีการกำหนดในมาตรฐาน
2. ทนไฟ (Flame-Resistance):
- การป้องกันจากอาร์กไฟฟ้า (Arc Flash) เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า เสื้อผ้าป้องกันไฟฟ้าควรทำจากวัสดุที่ทนไฟได้ และป้องกันการลุกลามของไฟ
- PPE ควรสามารถป้องกันการเกิดไฟไหม้จากอาร์กไฟฟ้า ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อมีการเกิดความผิดพลาดในวงจรไฟฟ้า
3. ความทนทาน (Durability):
- PPE สำหรับไฟฟ้าควรมีความทนทานต่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าช็อต หรือการสัมผัสกับอุปกรณ์ที่มีแรงดันไฟฟ้า
- ควรตรวจสอบสภาพอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการสึกหรอจากการใช้งาน
4. ความสะดวกสบาย (Comfort and Fit):
- แม้ว่า PPE สำหรับไฟฟ้าจะมีการป้องกันที่สำคัญ แต่ก็ต้องคำนึงถึงความสะดวกสบายในการใช้งาน เพราะผู้ทำงานต้องสวมใส่อุปกรณ์เหล่านี้เป็นระยะเวลานาน
- การเลือกใช้ PPE ที่มีขนาดพอดีและระบายอากาศได้ดีจะช่วยลดความเหนื่อยล้าในการทำงาน
8 อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลสำหรับงานไฟฟ้า ที่ผู้ปฏิบัติงานต้องมี
1. หมวกนิรภัย (Safety Helmet)
หมวกนิรภัยเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ใช้ป้องกันอันตรายจากการตกกระแทกของวัตถุต่าง ๆ ที่อาจตกจากที่สูง หรือการกระแทกจากการทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง หมวกนิรภัยที่ใช้ในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าควรมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น การป้องกันไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Discharge) และการป้องกันการสัมผัสกับแรงดันไฟฟ้า
2. รองเท้าป้องกันไฟฟ้า (Electrical Insulating Shoes)
รองเท้าป้องกันไฟฟ้าออกแบบมาเพื่อป้องกันผู้ทำงานจากการสัมผัสกับแรงดันไฟฟ้าในขณะทำงาน โดยรองเท้าเหล่านี้จะต้องทำจากวัสดุที่มีคุณสมบัติป้องกันไฟฟ้า เช่น ยาง หรือพลาสติกที่มีการเคลือบฉนวน ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดไฟฟ้าช็อตจากการเดินบนพื้นที่มีแรงดันไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการป้องกันการลื่นหรือการตกกระแทก
3. ถุงมือป้องกันไฟฟ้า (Electrical Insulating Gloves)
ถุงมือป้องกันไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดในการป้องกันการช็อตไฟฟ้า เนื่องจากไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ร่างกายผ่านมือเป็นหลัก ถุงมือที่ใช้สำหรับงานเกี่ยวกับไฟฟ้าควรทำจากวัสดุที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวน (Insulating Material) เช่น ยาง หรือพลาสติกที่มีความต้านทานไฟฟ้าได้ดี โดยต้องเลือกใช้ถุงมือที่เหมาะสมกับแรงดันไฟฟ้าที่ทำงาน เช่น ถุงมือสำหรับแรงดันต่ำ หรือแรงดันสูง และควรตรวจสอบสภาพของถุงมือทุกครั้งก่อนใช้งาน
4. แว่นตานิรภัย (Safety Glasses)
แว่นตานิรภัยเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันอันตรายจากการสัมผัสกับแสงไฟฟ้า เช่น การมองแสงจากเครื่องมือไฟฟ้าที่มีแรงดันสูง หรือการเกิดประกายไฟที่อาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ตาได้ แว่นตานิรภัยที่ใช้สำหรับงานเกี่ยวกับไฟฟ้าควรมีฟิลเตอร์ที่สามารถป้องกันแสง UV และแสงสีน้ำเงินที่อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตา
5. เสื้อผ้าป้องกันไฟฟ้า (Arc Flash Protective Clothing)
การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการเสี่ยงจากการเกิดอาร์กไฟฟ้า (Arc Flash) เป็นอีกหนึ่งอันตรายที่ผู้ทำงานไฟฟ้าต้องคำนึงถึง เสื้อผ้าที่ใช้สำหรับป้องกันการเกิดอาร์กไฟฟ้าจะต้องทำจากวัสดุที่มีคุณสมบัติทนความร้อนและสามารถป้องกันการลุกลามของไฟได้ เช่น เสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติทนไฟ (Flame-Resistant Clothing) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกไฟฟ้าช็อตหรือลุกลามจากการเกิดประกายไฟ
6. เครื่องป้องกันการได้ยิน (Hearing Protection)
ในการทำงานบางประเภทที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือไฟฟ้าอาจมีเสียงดังที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อหู เช่น การใช้เครื่องเจียรหรือเครื่องตัดต่าง ๆ ดังนั้นการใช้เครื่องป้องกันการได้ยิน เช่น ปลั๊กหูหรือหูฟังกันเสียงจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการสูญเสียการได้ยินในระยะยาว
7. เครื่องป้องกันทางเดินหายใจ (Respiratory Protection)
การทำงานในบางพื้นที่อาจต้องเผชิญกับฝุ่นละออง หรือควันจากการใช้เครื่องมือไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจได้ การใช้หน้ากากป้องกันการหายใจจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในการทำงานในพื้นที่ที่มีฝุ่นหรือควันหนาแน่น เช่น งานเชื่อมไฟฟ้า
8. เครื่องมือวัดแรงดันไฟฟ้า (Voltage Detector)
เครื่องมือวัดแรงดันไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ทำงานสามารถตรวจสอบว่าอุปกรณ์หรือวงจรที่กำลังทำงานมีแรงดันไฟฟ้าอยู่หรือไม่ ซึ่งช่วยในการลดความเสี่ยงจากการสัมผัสกับอุปกรณ์ที่มีแรงดันไฟฟ้าในขณะทำงาน เครื่องมือเหล่านี้มักจะเป็นเครื่องมือแบบดิจิตอลหรือแบบอนาล็อกที่มีความแม่นยำในการวัด
มาตรฐานอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลสำหรับงานไฟฟ้า
1. มาตรฐาน ANSI (American National Standards Institute):
- ANSI Z87.1 เป็นมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่ใช้ในงานเกี่ยวกับไฟฟ้า ซึ่งครอบคลุมถึงการใช้แว่นตานิรภัย, หมวกนิรภัย และเครื่องมือป้องกันทางเดินหายใจ
- ANSI/IEEE 1000V เป็นมาตรฐานสำหรับถุงมือป้องกันไฟฟ้าที่ใช้ในงานที่มีแรงดันไฟฟ้าสูง
2. มาตรฐาน NFPA (National Fire Protection Association):
- NFPA 70E เป็นมาตรฐานที่กำหนดข้อกำหนดเกี่ยวกับความปลอดภัยในงานไฟฟ้าและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล โดยให้ความสำคัญกับการป้องกันอาร์กไฟฟ้าและการป้องกันไฟฟ้าช็อต
- NFPA 2112 สำหรับเสื้อผ้าที่ทนไฟ เช่น เสื้อผ้าที่ใช้ป้องกันการเกิดอาร์กไฟฟ้า โดยเฉพาะการป้องกันในสถานการณ์ที่อาจเกิดไฟฟ้าช็อตหรือการกระจายของอาร์กไฟฟ้า
3. มาตรฐาน IEC (International Electrotechnical Commission):
- IEC 61482 กำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับการป้องกันอาร์กไฟฟ้าและการทดสอบการป้องกันจากการสัมผัสไฟฟ้า
- มาตรฐานนี้ครอบคลุมถึงการทดสอบวัสดุสำหรับชุดป้องกันการเกิดอาร์กไฟฟ้า ซึ่งมีความสำคัญในการป้องกันการบาดเจ็บจากการลุกลามของไฟฟ้าในขณะทำงาน
ความสำคัญของการใช้ PPE ในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า
การใช้ PPE ในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าเป็นการป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีไฟฟ้าแรงดันสูง นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ทำงานในการทำงานที่เสี่ยงอันตรายได้อย่างปลอดภัย
ในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟ้า นอกจากอุปกรณ์ PPE แล้วพนักงานยังจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐาน ความปลอดภัยในการทำงานกับไฟฟ้า ก่อนปฏิบัติงานจริง นายจ้างสามารถจัดอบรมเองได้ หรือใช้บริการ อบรมไฟฟ้า จากศูนย์ฝึก ที่ได้รับอนุญาต โดยส่วนใหญ่จะเลือกการจัดอบรมจากศูนย์ฝึก เนื่องจากมีความสะดวกมากกว่าและมั่นใจได้ว่าหลังอบรม จะสามารถนำวุฒิบัตรขึ้นทะเบียนกับพนักงานความปลอดภัยในเขตพื้นที่ ได้ถูกต้องตามกฎหมาย
การอบรมไม่ใช่เพียงแค่อบรม หลักสูตรที่คุณเรียนต้องตรงข้อกำหนดตาม ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 2558
- อ่านสรุปเกี่ยวข้อกำหนดที่ได้ : สรุปอบรมไฟฟ้าตามกฎหมาย 2558
เราของแนะนำ ElecSafeTrain บริการ อบรมไฟฟ้า จากศูนย์ฝึกอบรม ที่มีวิทยากรขึ้นทะเบียนกับกรมสวัสดิการฯอย่างถูกต้อง ให้คุณมั่นใจว่าหลักสูตรที่คุณกำลังเลือก เรียนเป็นไปตามกฎหมาย วุฒิบัตรที่ได้รับหลังผ่านอบรมสามารถยื่นขึ้นทะเบียนได้จริง
ติดต่อ : อีเมล Sale@safetymember.net / โทร (064) 958 7451 คุณแนน
สรุป
การเลือกใช้และการดูแลอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสมกับการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าคือหนึ่งในมาตรการสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการทำงานและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ผู้ทำงานต้องตรวจสอบสภาพอุปกรณ์ป้องกันทุกครั้งก่อนใช้งาน และต้องมีความรู้ในเรื่องการเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับประเภทของงานและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
อ้างอิง
- American National Standards Institute (ANSI). (2020). Personal Protective Equipment for Electrical Workers. ANSI Standard Z87.1.
- National Fire Protection Association (NFPA). (2017). NFPA 70E: Standard for Electrical Safety in the Workplace.
- Occupational Safety and Health Administration (OSHA). (2019). Personal Protective Equipment for Electrical Work. OSHA Standard 1910.137.