ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในบ้านเรือนเพื่อให้แสงสว่างและใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในสำนักงานเพื่อขับเคลื่อนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือในโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาระบบไฟฟ้าในการผลิตสินค้าและควบคุมเครื่องจักร อย่างไรก็ตาม แม้ไฟฟ้าจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในสังคมปัจจุบัน แต่หากใช้งานโดยขาดความรู้ความเข้าใจ หรือสัมผัสโดยไม่ระมัดระวัง ก็อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้
หนึ่งในอันตรายที่มักเกิดขึ้นจากไฟฟ้าคือ ไฟฟ้าช็อต ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการบาดเจ็บที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย อุบัติเหตุลักษณะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นภายในบ้าน ที่ทำงาน หรือแม้แต่ในพื้นที่ก่อสร้างและโรงงานอุตสาหกรรม ผลกระทบของไฟฟ้าช็อตอาจมีตั้งแต่รู้สึกแค่ชาเล็กน้อย ไปจนถึงบาดเจ็บรุนแรง
ไฟฟ้าช็อตคืออะไร
ไฟฟ้าช็อต (Electric Shock) คืออาการที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายมนุษย์ ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบประสาท กล้ามเนื้อ หัวใจ และอวัยวะภายใน ขึ้นอยู่กับระดับแรงดันไฟฟ้า ปริมาณกระแสไฟฟ้า และระยะเวลาที่สัมผัสไฟฟ้า
สาเหตุของการถูกไฟฟ้าช็อต
การถูกไฟฟ้าช็อตสามารถเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสกับไฟฟ้าใน 2 รูปแบบหลัก ได้แก่
1. การสัมผัสไฟฟ้าโดยตรง (Direct Contact)
หมายถึง การที่ร่างกายสัมผัสกับตัวนำไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านโดยตรง เช่น
- สัมผัสสายไฟเปลือย หรือสายไฟที่ชำรุด
- ใช้งานปลั๊กไฟหรือสวิตช์ที่ไม่มีฉนวนป้องกัน
- ทำงานกับแผงวงจร หรืออุปกรณ์ไฟฟ้า โดยไม่ได้ปิดแหล่งจ่ายไฟ
- เด็กเล็กเอานิ้วหรือโลหะเสียบเข้าไปในเต้ารับไฟฟ้า
การสัมผัสโดยตรงมักเกิดขึ้นจากความประมาทและการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้า
2. การสัมผัสไฟฟ้าโดยอ้อม (Indirect Contact)
หมายถึง การที่ร่างกายสัมผัสกับวัตถุที่มีกระแสไฟฟ้ารั่วผ่าน เช่น
- สัมผัสตัวถังเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกิดกระแสไฟฟ้ารั่ว
- แตะโครงโลหะของเครื่องจักรที่ไม่มีระบบสายดินที่เหมาะสม
- ใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าในพื้นที่เปียกชื้น ทำให้ไฟฟ้ารั่วเข้าสู่ร่างกาย
- เกิดไฟฟ้ากระโดด (Arc Flash) จากสายไฟที่มีแรงดันสูง
การสัมผัสโดยอ้อมมักเกิดขึ้นจากอุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด ไม่มีระบบสายดิน หรือไม่มีอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้ารั่ว (RCD)
ปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของไฟฟ้าช็อต
ความรุนแรงของไฟฟ้าช็อตขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่
1. แรงดันไฟฟ้า (Voltage) และกระแสไฟฟ้า (Current)
ปริมาณแรงดันไฟฟ้าสูงทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายมากขึ้น กระแสไฟฟ้าที่ได้รับมีผลต่อความรุนแรง โดยหน่วยไฟฟ้ามีหน่วยคือ มิลลิแอมป์ (mA)
- กระแสไฟฟ้า 1 mA หรือน้อยกว่า ไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย
- มากกว่า 5 mA อาจทำให้เกิดอาการช็อกและรู้สึกเจ็บปวด
- มากกว่า 15 mA กล้ามเนื้อบริเวณที่สัมผัสไฟฟ้าหดเกร็ง ควบคุมร่างกายได้ยาก
- มากกว่า 30 mA ส่งผลต่อระบบหายใจ อาจหายใจติดขัดและหมดสติ
- 50 – 200 mA อาจทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ เสี่ยงเสียชีวิตภายในไม่กี่วินาที
- มากกว่า 200 mA ทำให้เกิดแผลไหม้บริเวณที่สัมผัสไฟฟ้า หัวใจอาจหยุดเต้นทันที
2. ระยะเวลาที่สัมผัสไฟฟ้า
- ยิ่งสัมผัสกระแสไฟฟ้าเป็นเวลานาน อวัยวะภายในก็ยิ่งได้รับความเสียหายมากขึ้น
- การสัมผัสไฟฟ้านานกว่า 1 วินาที อาจส่งผลให้หัวใจหยุดเต้นหรือหมดสติได้
3. เส้นทางที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย
การไหลของกระแสไฟฟ้าผ่านร่างกายอันตรายมากน้อยขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่สัมผัสและเส้นทางที่กระแสไหลผ่านไปยังอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้มือขวาเป็นมือหลักหรือมือถนัด สามารถช่วยลดความเสี่ยงของกระแสไฟฟ้าที่อาจไหลผ่านหัวใจซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของร่างกาย จากการศึกษาทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าผ่านร่างกาย พบว่าปริมาณกระแสที่เข้าสู่ร่างกายของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมและอิมพีแดนซ์ภายในร่างกายของแต่ละคน กรณีการไหลของไฟฟ้าผ่านร่างกายมีความอันตรายดังนี้
- หากไฟฟ้าไหลจากมือข้างหนึ่งไปยังมืออีกข้างหนึ่ง จะมีผลกระทบต่อหัวใจโดยตรง
- หากไฟฟ้าไหลจากมือไปที่เท้า อาจส่งผลให้เกิดอาการไหม้หรืออวัยวะภายในถูกทำลาย แต่อันตรายน้อยกว่าจะมือซ้ายไปมือขวา
4. ความชื้นและสภาพร่างกายของผู้สัมผัส
- หากร่างกายเปียกชื้น จะทำให้ความต้านทานของร่างกายลดลง และกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายได้ง่ายขึ้น
- ผู้ที่มีโรคหัวใจหรือโรคประจำตัว อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติ
ผลกระทบจากการถูกไฟฟ้าช็อต
1. ผลกระทบทางร่างกาย
-
แผลไฟไหม้และเนื้อเยื่อถูกทำลาย
- เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย อาจเกิดความร้อนสูง ทำให้ผิวหนังไหม้
- แผลไหม้อาจลึกถึงระดับกล้ามเนื้อ หรือแม้แต่อวัยวะภายใน
-
ภาวะหัวใจหยุดเต้น
- ไฟฟ้าสามารถรบกวนการเต้นของหัวใจ ทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ในบางกรณีอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นทันที
-
กล้ามเนื้อกระตุกและอัมพาตชั่วคราว
- กระแสไฟฟ้าอาจทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง ไม่สามารถปล่อยมือจากแหล่งไฟฟ้าได้
- หากกระแสไฟฟ้าแรงมาก อาจทำให้กล้ามเนื้อเสียหายถาวร
-
ความเสียหายของระบบประสาท
- กระแสไฟฟ้าสามารถทำลายเซลล์ประสาท ทำให้เกิดอาการชาหรือสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว
2. ผลกระทบทางจิตใจ
- บางคนอาจเกิดภาวะเครียด หรือมีอาการกลัวไฟฟ้าหลังจากถูกไฟฟ้าช็อต
- อาจมีอาการนอนไม่หลับ ฝันร้าย หรือวิตกกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุไฟฟ้า
อ่านเพิ่มเติม : วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแผลไหม้จากไฟฟ้า
วิธีป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าช็อต
1. การป้องกันในสถานที่ทำงาน
- ติดตั้งระบบสายดินเพื่อป้องกันไฟฟ้ารั่ว
- ติดป้ายสัญลักษณ์เตือน
- ใช้อุปกรณ์ป้องกัน PPE ทุกครั้งในการทำงานเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า
- ใช้อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้ารั่ว (RCD)
- ตรวจสอบระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นประจำ
- ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไฟฟ้า
- ห้ามทำงานกับอุปกรณ์ไฟฟ้าขณะมือเปียก
สำหรับพนักงานในโรงงาน ระดับลูกจ้างทั่วไปที่เกี่ยวข้องการกับการไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการตรวจ ใช้งาน ซ่อมแซม ในกฎหมายได้ระบุให้นายจ้างต้องจัดอบรมการทำงานกับไฟฟ้า หรืออบรมไฟฟ้า ให้กับลูกจ้างทุกคนก่อนเริ่มทำงาน และต้องนำหลักฐานการเข้าอบรมส่งให้พนักงานความปลอดภัยภายใน 15 วันหลังอบรมเสร็จ
2. การป้องกันในบ้านเรือน
- ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้รับมาตรฐานความปลอดภัย
- หลีกเลี่ยงการใช้ปลั๊กพ่วงที่ไม่มีคุณภาพ
- ห้ามเสียบปลั๊กหรือสัมผัสสวิตช์ไฟขณะมือเปียก
- สอนเด็กเล็กให้รู้จักอันตรายจากไฟฟ้า
3. การช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อพบผู้ถูกไฟฟ้าช็อต
- ตัดกระแสไฟฟ้า ทันที หากเป็นไปได้
- ห้ามสัมผัสตัวผู้ถูกไฟฟ้าช็อต โดยตรง ให้ใช้วัตถุที่ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า เช่น ไม้ หรือพลาสติก ดันตัวผู้ประสบเหตุออกจากแหล่งไฟฟ้า
- ปฐมพยาบาลเบื้องต้น หากผู้ประสบเหตุหมดสติ ให้ทำ CPR และรีบเรียกรถพยาบาล
- นำส่งโรงพยาบาลทันที แม้ว่าผู้ประสบเหตุจะดูเหมือนปกติ เพราะอาจมีอาการแทรกซ้อนภายใน
สรุป
อันตรายจากการถูกไฟฟ้าช็อตเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถส่งผลต่อร่างกายได้ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงเสียชีวิต การป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าควรเริ่มต้นจากการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างถูกต้อง มีมาตรการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวด และมีความรู้เกี่ยวกับวิธีช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไฟฟ้าช็อต ด้วยความระมัดระวังและความรู้ที่ถูกต้อง เราสามารถลดความเสี่ยงและป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความที่เกี่ยวข้อง
- Lockout Tagout (LOTO) คืออะไร
- มาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า มีอะไรบ้าง
- แนะนำอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) สำหรับงานไฟฟ้า